ล้างระบบเพื่อความสำเร็จ


ล้างความรู้สึก ความเชื่อ ความคิด ที่มีต่อตัวเอง เพื่อปลดล็อคส่ิงที่กั้นความสำเร็จของเรา


ฉันมีคำถามต่อตัวเอง 3 ข้อ คือ
1.ทำไมเมื่อฉันทำในสิ่งที่ชอบแล้วเเต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ
2.ทำอย่างไร ฉันจะสร้างรายได้จากสิ่งที่ฉันทำอยู่ให้มีรายได้เพิ่มขึ้น และอยู่ระยะยาวอย่างมั่นคง
3.สิ่งที่ฉันคิด ตัดสินใจ เลือก และสิ่งที่ทำอยู่ในตอนนี้มันถูกต้องแล้วใช่มั้ย

พอมองในคำถามที่มีต่อตัวเอง ฉันก็เห็นถึงคำตอบได้อย่างชัด คือ
A : ต้องล้างระบบความรู้สึก ความคิด ความเชื่อในแง่ลบที่มีต่อตัวเองให้ได้
- ฉันมีความรู้สึกผิดต่อตัวเองและครอบครัว เพราะว่าฉันเรียนหนังสือเก่งมาก เก่งทั้งกิจกรรม เก่งแทบทุกอย่าง ฉันเรียนภาษาญี่ปุ่นมากว่าสิบปี ความสามารถและความรู้ของฉันในช่วงมหาลัยเทียบเท่าความสามารถของล่ามในโรงงาน แต่ฉันทิ้งทุกอย่างมาอย่างง่ายดาย ฉันเข้าใจความรู้สึกของครอบครัวว่าทำไมฉันถึงไม่เลือกที่จะทำงานที่มีเงินเดือนสูงๆ และงานก็เป็นงานที่ดี มั่นคง ถึงยังไงฉันโชคดีที่ครอบครัวของฉันไม่เคยบังคับให้ทำอะไร ท่านให้อิสระในการเลือกและไม่เคยต่อว่า แต่ฉันก็รับรู้ถึงความรู้สึกกังวลของครอบครัว เพราะทั้งเรื่องรายได้ในชีวิตของฉัน จะอยู่อย่างไรเมื่อไม่มีเงินเก็บอะไรเลย ชีวิตระยะยาวจะเป็นอย่างไร ท่านห่วงเรื่องนี้ รวมถึงความเป็นคนเก่ง มีความสามารถทำให้ใครๆก็รู้จัก คนแถวบ้าน เพื่อนของพ่อกับแม่ แม้เเต่ญาติๆ มักจะเข้ามาถามถึงเรื่องของฉันเสมอ นั่นเเหละสิ่งที่ทำให้ครอบครัวฉันเครียด
- ความรู้สึกผิดต่อครอบครัวยังพอแก้ไขได้ เพียงเเค่บอกท่านว่าฉันกำลังหาอยู่ หาทางของตัวเอง ยังทำอยู่ ไม่ได้อยู่เฉยๆ ท่านก็พอจะเบาใจขึ้น แต่การรู้สึกผิดต่อตัวเองนี้มันยากที่จะล้างความรู้สึกได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้เพียงต้องตั้งใจและล้างมันบ่อยๆ ฉันนึกถึงสิ่งที่ฉันเคยทำจนเกิดทักษะต่างๆ มันเริ่มมาจากการฝึกฝนอย่างหนัก ฉันเขียนคำศัพท์ภาษาญี่ปุ่นทั้งแบบ ฮิรากะนะกับคันจิทุกวัน วันละ100 x 2 = 200คำ ต่อวัน ฝึกอ่านจับเวลา เช่น บทอ่าน 500คำ ต่อ 1-2 นาที ฉันฝึกแบบนี้ในช่วงเรียนภาษาญี่ปุ่น ฉันท่องจำไวยากรณ์ในบทเรียนแต่ละบทจนจำได้ถึงบรรทัดแต่ละบรรทัดว่ามันพูดเรื่องอะไร เพราะครูที่สอน ท่านเข้มงวด สอนหนักและโหด ฮ่าๆ แบบที่เรียกว่า เหมือนจะฝึกนินจาเลย ฮ่าๆ คิดดูว่า ท่านจะเปิดหนังสือแบบ random แล้วจะถามว่า หน้าที่ท่านเปิดมันคืออะไร เช่น ท่านเปิดได้หน้าที่ 119 -120 ท่านจะถามว่าคือเรื่องอะไร บางทีถามถึง บรรทัดในหน้านี้ เช่น บรรทัดที่สามคืออะไร ฉันถูกฝึกมาแบบนี้จริงๆ พอเข้ามหาลัย ความรู้ในตอนนี้มันเทียบเท่ากับอาจารย์ ซึ่งฉันสามารถสอนหนังสือได้เลยนะ เเต่ก็นั่นเเหละเป็นปัญหาเช่นกัน ความเก่งนี้ทำให้คนไม่ชอบได้ง่ายๆ ฉันจึงมีอคติต่อตัวเองและมันเป็นเรื่องที่ฉันเข้าใจผิด คือ
o ฉันไม่ชอบความเก่งของตัวเอง เพราะคิดเเละเชื่อว่ามันสร้างปัญหาให้ฉันตลอด มันทำให้คนไม่ชอบ ฉันขังตัวเองเอาไว้ ฉันไม่ศรัทธา ไม่ภูมิใจในตัวเอง ฉันเกลียดตัวเอง
o ฉันไม่มีความทะเยอทะยาน ไม่มีเป้าหมาย ไม่สร้างแผนการในชีวิต ฉันปล่อยปะละเลยชีวิต เเค่เพราะไม่อยากเด่น ให้ใครเห็น ไม่ต้องการให้ใครรู้จัก
o ฉันอ่อนแอ ขาดความเชื่อมั่น ขาดกำลังใจที่มีต่อตัวเอง ฉันทำร้ายตัวเองด้วยความคิด ความเชื่อที่ฉันสร้างมันขึ้นมาเอง

จะเห็นได้ว่า ความรู้สึกผิดต่อตัวเอง ความละอายใจต่อตัวเอง ความเข้าใจผิด ความคิดเเละการเชื่อแบบผิดๆ มันสร้างให้ฉันไม่รักตัวเอง ฉันต้องล้างสิ่งเหล่านั้นก่อนจะใส่สิ่งใหม่ การที่ฉันเขียนปัญหาในตัวเองออกมาได้ เห็นถึงสาเหตุว่าเพราะอะไรถึงไม่ประสบความสำเร็จหรือมีรายได้ที่ดี สิ่งที่ฉันพูดมานั้นคือการล้างระบบเก่าที่มันผิดพลาด เมื่อเรามองเห็นจุดที่ผิดพลาดในตัวเองเเล้วต้องการแก้ไขใหม่ มันคือการล้างระบบ เมื่อไรที่คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ก็เพียงบอกตัวเองว่า ฉันเข้าใจผิด ฉันจะเริ่มต้นใหม่ พูดให้ตัวเองเข้าใจอย่างนี้จนความรู้สึกผิดนั้นหายไป เมื่อก่อนนั้นฉันจะรู้สึกเสียใจต่อตัวเองและต่อครอบครัว ฉันรู้สึกทำให้ท่านผิดหวังเเละเอาเเต่ต่อว่าตัวเอง ว่าทำไมเป็นคนแบบนี้ ไม่มีความมุ่งมั่นอะไรเลย เเต่ถ้าเข้าใจตัวเอง มองเห็นจุดผิดพลาดและเขียนมันออกมาเป็นลำดับได้นั้น มันคือการเริ่มล้างระบบเดิม เพราะสมองมันจะเชื่อเเละเข้าใจในสิ่งที่เห็น ไม่ควรพูดหรือคิดเพียงอย่างเดียว ต้องเขียน เขียนทุกอย่างเลย สมองมันถึงจะยอมรับข้อมูลใหม่ๆ ต้องให้มันเห็นข้อมูลเก่าๆเสียก่อน เพราะสมองทำงานเป็นระบบ มันซับซ้อน บางครั้งมันก็เข้าใจว่ามันทำงานถูกเพราะฉะนั้นการเขียนเพื่อให้ตาเห็น เราอ่านให้ได้ยินเสียง มันคือการช่วยสมองทำงานในการจดจำ บันทึกและลำดับเรื่องให้มันเข้าใจอย่างง่ายดาย ดังนั้น การเขียนเเยกเเยะออกมาอย่างที่ฉันทำอยู่ตอนนี้ มันคือการสร้างระบบสมองให้เข้าใจใหม่อย่างมีเหตุผลและเป็นลำดับ

เมื่อไรที่สมองยอมรับข้อมูลและมันก็ตกลงที่จะเคลียร์เรื่องเก่าๆให้จบไป ฉันใช้คำว่า "ฉันเข้าใจผิดกับการใช้ชีวิตตลอดช่วงที่ผ่านมา" ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าเสียเวลาไปนานเท่าไร ถือว่านั้นคือประสบการณ์ แม้จะเป็นประสบการณ์ที่เป็นเรื่องเข้าใจผิด ฉันก็จะบอกตัวเองว่า ไม่เป็นไร เราจะดีขึ้น เรารู้แล้ว เราเข้าใจแล้ว เราจะประสบความสำเร็จ ขอบคุณประสบการณ์การเข้าใจผิดนั้น เพราะมันทำให้ฉันเจอครูที่ดีเเละเก่ง ฉันได้รับการฝึกฝน ได้รู้จักความมีวินัย ความอดทน ความขยันว่าเป็นอย่างไร ฉันจะนำสิ่งที่ครูท่านนี้ฝึกฝนมาใช้กับการทำงานซึ่งฉันเลือกแล้วว่าจะทำงานในสิ่งที่ฉันชอบ มันคือการเตรียมตัวเพื่อนำมาใช้ในงานอิสระที่ฉันเลือกแล้วว่าจะทำ แม้จะเข้าใจผิดแต่ฉันก็ขอบคุณ ส่วนเพื่อนๆ อาจารย์ที่มีอคติต่อฉัน มันทำให้ฉันรู้แล้วว่าตัวเองมีทักษะจากการสร้างมันมาอย่างหนัก ฉันควรที่จะเคารพในตัวเอง ภูมิใจในตัวเอง มันทำให้ฉันรู้ว่า ผู้คนกลัวคนที่มีความสามารถมากกว่า กลัวการเเพ้ กลัวว่าคนที่เก่งๆ ที่มีความสามารจะเเย่งทุกสิ่งทุกอย่าง พวกเค้าเข้าใจผิดเช่นกัน พวกเค้าเข้าใจผิดอีกด้วยที่ว่าคนเก่งจะเห็นแก่ตัว มันทำให้ฉันรู้แล้ว รู้ว่าจะนำประสบการณ์นี้มาใช้อย่างไร นั่นคือ ฉันจะชื่นชมตัวเองเเละชื่นชมผู้อื่นอย่างจริงใจ ฉันจะถ่อมตนและให้ความเคารพต่อผู้อื่นอย่างนอบน้อม ฉันจะช่วยเหลือผู้อื่นมากกว่าการสอนด้วยท่าทีที่ข่มเหง ฉันจะระวังการแสดงออกทางความคิดของตัวเองหรือการเเนะนำใดๆต่อผู้อื่นก็จะทำอย่างระวัง ทำด้วยความสุภาพและให้เกียรติ์ นี่คือสิ่งที่เป็นประโยชน์ในประสบการณ์การเข้าใจผิด

พอสมองยอมรับข้อมูลมันจะหยุดความรู้สึกผิดต่อตัวเอง ต่อครอบครัว หรือการมีอคติ ความรู้สึกในแง่ลบกับความทรงจำ ประสบการณ์ที่ผ่านมา พอถามตัวเองว่าทำไมไม่ทำงานที่โรงงานหรือหางานในบริษัทญี่ปุ่น ฉันจะตอบตัวเองว่า ฉันมีทางอื่นที่ฉันเลือกแล้วว่าถนัดกว่า ชำนาญกว่า มันแตกต่างจากเมื่อก่อนที่คิดถึงเรื่องนี้ทีไรจะเสียใจทุกที แม้เเต่ครอบครัว ฉันก็มีความรู้สึกใหม่ว่า ฉันจะทำให้ท่านภูมิใจในไม่ช้านี้แหละ ขอบคุณที่ท่านสนับสนุนมาตลอด ความสนับสนุนนี้มันคือแรงผลักดันให้ฉันทำชีวิตให้ดีขึ้นและจะตอบแทนท่านกลับในไม่ช้านี้ ความรู้สึกมันเเตกต่างจากแต่ก่อนที่เอาแต่โทษตัวเอง แม้แต่คนรอบข้าง ถาเข้ามาถามเรื่องฉัน ฉันก็จะบอกว่าฉันทำอะไรอยู่ตอนนี้ อยากซื้องานวาดภาพมั้ย ภาษาญี่ปุ่นก็ยังรับแปลนะ ฮ่าๆ เป็นการขายของ โฆษณาไปเลย ต่างจากเมื่อก่อนที่มีอารมณ์โกรธ โมโห มันบ้านะ พอคิดได้ ฮ่าๆ จะไปโกรธเค้าทำไมนะ สู้ฝากการขายของไปเลย อย่างน้อยถ้าเค้าจะเอาเรื่องเราไปเม้าส์ต่อ เค้าก็จะบอกว่าฉันทำอะไร ขายอะไร ฮ่าๆ พอสมองมันเข้าใจ ยอมรับ ตามสิ่งที่ฉันเขียนลำดับเป็นเรื่องเป็นตอน สมองมันจะจัดการทุกอย่างเลย ฮ่าๆ จัดการอารมณ์ ความรู้สึก คือมันหายไปอย่างง่ายๆเลยนะ เคยคิดว่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองในเรื่องความคิด ทัศนคติ ความเชื่อนี้คงนานเป็นปี ที่ไหนได้ มันเปลี่ยนแบบฉับพลันเลยถ้าเราเรียงลำดับเรื่องอย่างมีเหตุผล จากนั้นก็เขียนบ่อยๆในสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงเพื่อสมองจะได้เชื่อแบบระยะยาวจนมันลบความรู้สึกในแง่ลบไปเอง ความทรงจำ ประสบการณ์ที่ผ่านในสิ่งที่ฉันคิดว่ามันแย่ มันจะเป็นเพียงคำตอบที่ว่า "มันคือการเข้าใจผิดต่อตัวเอง"

B : สร้างความรู้สึก ความคิด ความเชื่อ และสร้างประสบการณ์ใหม่ให้ตัวเอง
- เมื่อสมองยอมรับการเปลี่ยนแปลงแล้ว ฉันเริ่มการเขียนถึงรายการการเปลี่ยนแปลง สิ่งที่ต้องการจะเป็น ฉันเขียนถึงหน้าที่ การงานที่ฉันอยากทำ รายได้ที่ต้องการ ฉันเขียนเเละอ่านมันทุกวัน จนมันเกิดการเปลี่ยนแปลงจริงๆ ฉันมีรายได้เกิดขึ้นจริงแม้จะยังไม่ถึงเป้าที่เขียนไว้ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นจริงๆ ทั้งนิสัย พฤติกรรม อารมณ์ ความคิด ความเชื่อ ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงตามรายการเหล่านั้น และมันเกิดขึ้นเร็วมาก
- เมื่อการฝึกฝนตัวเองจนชิน เช่น การล้างระบบอารมณ์ ความรู้สึกทุกๆวัน มันจำเป็นต้องทำ ก็แค่สลายความรู้สึกในเเง่ลบ ต้องทำทุกวัน ทำบ่อยๆ เเค่รู้สึกโมโหก็เพียงอยู่กับมัน จินตนาการว่าฉันกำลังสลายอารมณ์นั้นให้หมดไป มันทำให้ความรู้สึกที่ไวต่อการสัมผัสอารมณ์ ความรู้สึกต่อสิ่งรอบข้าง มันมีสติมากขึ้น สมองมันจะทำงานเร็วมาก มันจะบอกขึ้นเองเลยว่า กำลังโมโหนะ เครียดนะ ขี้เกียจนะ สมองมันจะเตือนโดยการถามตัวเองขึ้นมาอย่างอัตโนมัติ ฮ่าๆ เเต่ก่อนฉันล้างระบบแบบถามตัวเองว่า วันนี้มีเรื่องอะไรที่ทำให้เครียด โกรธ หรือบางทีโมโหอะไรอยู่ก็จะเก็บไว้ค่อยมาล้างก่อนนอน แต่เดี๋ยวนี้ สมองมันบอกให้ล้างทันที ฮ่าๆ
- ยืนยันประสบการณ์ว่ามันเป็นจริง โดยการเฝ้าสังเกตอารมณ์ตัวเองแบบการดูสติหรือจะบอกว่ามีสมาธิก็ได้ มันคือการยืนยันและเก็บเป็นประสบการณ์ สมองมันจะสร้างความเคยชินนี้จนเป็นนิสัย ฉันจะทำตัวเป็นนักตรวจสอบไปในตัวเช่นกัน คือจะยืนยันว่า ฉันทำได้แล้ว มันเกิดขึ้นแล้ว ฉันมีสมาธิ มีสติ ฉันทำผลงานวันนี้เสร็จแล้ว แม้ว่าจะยังไม่ได้ขาย หรือหากได้ขาย ฉันรับรายได้จริงๆ ก็จะใส่ความรู้สึกสนุก ดีใจ ตื่นเต้น กระตือรือร้น ขอบคุณตัวเองที่ทำงานในวันนี้จนถึงเวลาเข้านอนก็จะขอบคุณที่ทำงานอย่างเต็มที่ นี่คือประสบการณ์ที่ฉันพูดถึง

ทั้งหมดนั้นมันดีใช่มั้ย...การเคลียร์ความเข้าใจในตัวเอง เคลียร์ความรู้สึกที่มีต่อตัวเอง การฝึกฝนเปลี่ยนแปลงในตัวเองให้ดีขึ้น ฉันทำอยู่ตลอด ทำอย่างต่อเนื่อง และการยืนยันประสบการณ์ แต่ในส่วนของรายได้ มันยังไม่ประสบความสำเร็จ ฉันยังไม่มีเงินเก็บ ต้องมีเงินเก็บถึงจะเรียกว่าถึงครึ่งทางแห่งความสำเร็จ ฉันอยู่ตรงจุดเริ่มต้นนี้มา5-6เดือน เอาล่ะ กลับไปที่คำถาม 3 ข้อ ตอนต้นที่ถามว่า
1.ทำไมเมื่อฉันทำในสิ่งที่ชอบแล้วเเต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ
2.ทำอย่างไร ฉันจะสร้างรายได้จากสิ่งที่ฉันทำอยู่ให้มีรายได้เพิ่มขึ้น และอยู่ระยะยาวอย่างมั่นคง
3.สิ่งที่ฉันคิด ตัดสินใจ เลือก และสิ่งที่ทำอยู่ในตอนนี้มันถูกต้องแล้วใช่มั้ย

ตอบข้อแรก ต้องทำให้มากขึ้น หมายถึง ต้องหาความรู้ให้มากขึ้น ฉันวาดรูปขาย ทุกคนจะมองว่ามันยาก ไม่เห็นจะมีทางสร้างรายได้ง่ายๆเลย ฉันหยุดฟังเเละไม่เชื่ออย่างนั้น ฉันสร้างระบบความเชื่อของฉันมาเเล้วว่า ฉันขายงานวาดได้ ขายได้อย่างง่ายดาย ฉันสร้างรายได้จากสิ่งที่ฉันรักแล้วยืนยันประสบการณ์ว่ามันเกิดขึ้นจริง ฉันเขียนรายการเพิ่มขึ้นเพื่อทำให้ไปสู่ความสำเร็จ คือ
1.1 ต้องฝึกฝนเพิ่มขึ้น ระดับฝีมือในตอนนี้แค่เก่ง แต่ยังไม่ชำนาญ ยังไม่มีความเป็นมืออาชีพ เพราะฉะนั้น
- สร้างงานออกมาด้วยความชำนาญจะทำให้ได้ผลงานมากขึ้น
- เมื่อทำงานด้วยความชำนาญจะเกิดงานที่มีความเป็นมืออาชีพ
1.2 ศึกษาการตลาดงานศิลปะ ช่องทางในการขายงาน ติดตามศิลปินนักวาดที่ประสบความสำเร็จ ศึกษาในตัวบุคคลและงานของท่านเหล่านั้น
1.3 จัดการเวลาในชีวิตของตัวเอง เวลาที่ฉันพูดถึงนั่นคือ เวลาที่ฉันดูยูทูป เล่นเกมส์ ดูซีรี่ส์ คุยกับเพื่อนหรือเวลาที่ฉันตื่นเเละเข้านอน ฉันต้องลดเวลาในการทำสิ่งเหล่านั้นและเพิ่มเวลาในการเรียนรู้การพัฒนาชีวิต สร้างผลงาน

ตอบข้อสอง ฝึกฝนอย่างต่อเนื่องและทำตามคำตอบของข้อแรก ทำทุกวัน ทำบ่อยๆ ทำให้มาก สิ่งที่จะเพิ่มเติมคือ
- เชื่อมั่นในตัวเองให้สูง ฉันคิดว่าถ้าบอกว่าเชื่อมั่นให้มาก มันจะรู้สึกว่าฉันขาดแคลนความเชื่อมันในตัวเอง เเต่พอบอกว่าเชื่อมั่นไว้สูงๆ (มันอาจจะประหลาดหรือใช้คุณศัพท์ผิดสำหรับคนเรียนเอกภาษาไทย ฮ่าๆ)แต่สำหรับฉันมันทำให้รู้สึกว่ามันอยากจะปีนขึ้นไปปักธงประจำตัวไว้บนนั้น เหมือนปีนภูเขาเอเวอร์เรส ฮ่าๆ ฉันจะไม่ละความเชื่อมั่นในตัวเอง ไม่ว่าจะอยู่จุดไหนของทางขึ้นก็จะไปให้มันถึง ฉันจึงชอบใส่คำว่าสูง เเทนคำว่า มาก
- สร้างสิ่งที่ผู้คนคาดไม่ถึง เพราะความฝันฉันสูง
- คิดให้ใหญ่เข้าไว้ จะได้ขยันเเละทำผลงานได้ตลอดเวลา
- คิดเสมอว่า ฉันเป็นทั้งเจ้าของบริษัท ผจก เลขา พนักงาน แม่บ้าน ฉันมีความรับผิดชอบเพื่อที่จะรักษาทั้งบริษัทและบุคคล มันหลอกสมองให้มีแรงจูงใจ มันสนุกด้วยนะ
- ศึกษาข้อมูลทางการเงิน แม้ว่าจะยังไม่มีรายได้ที่มาเป็นก้อนใหญ่ๆเเต่ให้ศึกษาสิ่งเหล่านี้ไว้
- ทำทุกอย่างๆธรรมชาติ สนุกกับสิ่งที่ทำ เพราะนี่คืองานที่เป็นอิสระ
ตอบข้อสาม ใช่!! ฉันตัดสินใจถูกแล้ว!

ฉันได้คำตอบแล้วในคำถามที่มีต่อตัวเอง ที่จริงฉันจะตอบเลยก็ได้นะ เเต่ที่เขียนมาเพื่อให้รู้ว่า ก่อนที่จะมองเห็นคำถามเพื่อพัฒนาชีวิตของตัวเองได้นั้น ต้องทำอะไรก่อน เพราะถ้าไม่ทำสิ่งที่ฉันพูดมาอย่างยาวเหยียดในตอนเเรกนั้น ความสงสัยลังเล ความรู้สึกในเเง่ลบที่มีต่อตัวเองมันจะเกิดขึ้นตามระบบสมองที่ส่งข้อมูลมาถามเรา เพราะเรากำลังทำในสิ่งที่อยู่นอกเส้นทางของสมองที่มันเชื่อ เราต้องสร้างความเชื่อใหม่ในสมอง ด้วยการล้างระบบเดิม เเยกเเยะให้สมองเข้าใจ จนเกิดการยอมรับ สมองจะสร้างความรู้สึกใหม่ขึ้นมา ซึ่งเราต้องเขียนในสิ่งที่จะสร้างและต้องการที่จะลบ จากนั้นก็อ่านรายการที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ทุกๆวัน เหมือนการสร้างเส้นทางใหม่ให้สมองเดินตาม เมื่อเราจะทำอะไรที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตในคราวต่อๆไป สมองมันจะไม่ยั้บหยั้งหรือส่งความรู้สึกกลัว ลังเลอะไรเเบบนั้น มันอยู่ที่การฝึกด้วยว่าเราใส่ข้อมูลใหม่มากน้อยแค่ไหน

ฉันจะลงมือทำตามคำตอบ3ข้อนั้นหลังจากที่โพสต์บทความนี้ หากได้ความคืบหน้าอย่างไร ฉันจะเขียนเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งต่อไปเกี่ยวกับการสร้างรายได้ด้วยงานอิสระ

ขอบคุณทุกๆอย่างที่สร้างให้ฉันเป็นฉัน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บทขอขมากรรม

โลกของฉันที่ค่อนข้างอยู่นอกจักรวาล (Spiritual Drawing)

ความเชื่อหรือความงมงาย