ความเชื่อหรือความงมงาย





เมื่อเราพูดถึงสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เรื่องที่ไม่ใช่ในศาสนาที่ตนนับถือ หรือเรื่องที่เป็นเพียงสิ่งที่เขียนขึ้นจากโบราณกาลในลักษณะของความเชื่อ เทพ พระเจ้า อะไรต่างๆในเชิงลักษณะนี้ คนที่ไม่เชื่อแบบสุดใจก็จะหัวเราะเเละบอกว่าคนเหล่านี้เป็นพวกบ้างมงาย

แม้ว่าจะมีบางกลุ่มที่เป็นแบบนั้น ซึ่งมีความเชื่อจนไม่รับฟังความจริงทางตรรกะหรือศาสตร์ทางวิทยาการ หรือแบบเชื่อครึ่งๆยังไงก็ได้ และแบบเชื่อเเต่ก็ควบคู่ไปกับหลักวิทยาศาสตร์ คือเชื่อในสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติเเต่ควบคุมไปด้วย ปรัชญา วิทยาการในลักษณะจิตวิทยา 

ทุกวันนี้ผู้นำทางจิตวิญญาณที่มีความเชื่อในเรื่องพลังงานเหนือธรรมชาติหรือพลังงานของวิญญาณต่างๆ ยังต้องมีการเรียนรู้ในเรื่องจิตวิทยาด้วย อาจจะเรียกได้ว่า เป็นนักจิตเทววิทยา (ฉันเรียกเอง) ซึ่งฉันเป็นคนในกลุ่มหลังนี้ ไม่ได้มีเพียงฉันเท่านั้นที่เป็นนักจิตเทววิทยา แต่ฉันยังมีกลุ่มเพื่อนที่ได้รู้จักโดยบังเอิญ เเต่ฉันเชื่อว่าพวกเค้าคือกลุ่มคนที่จะช่วยเหลือผู้คนให้เข้าใจการมีความเชื่อที่ถูกต้องและทำอย่างไรจะไม่หลงในความงมงาย เรามีหน้าที่และคลื่นพลังแบบเดียวกัน จึงได้มารู้จักเเละฝึกฝนไปด้วยกัน แม้ว่าเราจะเชื่อเรื่องจิตวิญญาณเเต่เราก็คุยกันเข้าใจถึงความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในแบบคนยุคเทคโลยี การฝึกเป็นผู้รู้ต้องเปิดใจในความรู้ใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ไม่เคยพบเจอ หรือไม่เข้าใจก็ต้องศึกษาเพื่อให้รู้ คนมีปัญญาจะศึกษาพิสูจน์จนได้คำตอบด้วยตัวเองและมันเกิดเป็นความรู้เฉพาะตน 

ฉันจึงอยากพูดถึงคนที่งมงายจนเกินไปเเละคนที่ไม่เชื่อจนมีอคติ อยากให้ลองรับฟังทัศนคติของฉัน เพราะฉันมักได้ยินการพูดถึงผู้ที่คุยเรื่องจิตวิญญาณว่าบ้าบ้าง เพ้อเจ้อบ้าง โดยการต่อว่าอย่างรุนเเรงด้วยอารมณ์จนเกินไป ฉันสังเกตคนที่ปัญญามากๆ เช่น นักจิตวิทยาที่เก่งๆ พระ นักบวชที่ชี้เเนะผู้คนโดยแฝงความรู้ทางโลกไปด้วย ท่านเหล่านี้จะไม่กล่าวต่อว่าผู้อื่นโดยไร้เหตุผล แต่จะเเนะนำด้วยความสุภาพ ใจเย็น ใช้คำถามต่อผู้ฟังให้คิดตามมากกว่าการบอก การสอนที่หนักหน่วง เเละมีจิตช่วยเหลือผู้ที่ไม่รู้ให้รู้ในทางที่ถูกต้อง ฉันเข้าใจค่ะว่าคนที่งมงายจริงๆก็ยากที่จะช่วยให้หลุดออกจากหลุมดำ แต่พอคิดอีกทีก็น่าสงสารนะคะ พวกเค้าเสียเงินไปกับร่างทรงโดยที่ไม่รู้อีกว่า ร่างทรงคนไหนของจริง คนไหนของปลอม ฉันเองก็อยากให้ผู้คนหากจะเชื่ออะไรก็อยากให้มีการพิจารณาให้ดีก่อน ฉันจึงศึกษาเรื่องเหล่านี้เพื่อตอบคำถามผู้คน...และเพื่อที่จะความเข้าใจพวกเค้าให้มากที่สุด

ฉันศึกษาเรื่องจิตวิทยา จิตวิญญาณรวมไปถึงหลักปรัชญา วิทยาศาสตร์ ฉันทำเพราะฉันชอบ มีความสุขในการหาความรู้ในเรื่องพวกนี้ ฉันไม่ได้บอกให้ใครเชื่อฉันไปซะทุกอย่าง ฉันเพียงเเค่อยากให้คุณเปิดใจเเละถามตัวเองว่าทำไมถึงเชื่ออย่างนั้น เชื่อแล้วได้อะไรกลับมาบ้าง ฉันมีเพื่อนที่เป็นนักจิตวิญญาณ พวกเค้ามีความเชื่อในเรื่องของจักรวาล เทพต่างๆเช่นกันแต่พวกเค้าศึกษาเพิ่มความรู้ในศาสตร์อื่นๆด้วย ความรู้ทางจิตวิญญาณมันแทบจะครอบคุมความรู้ทุกศาสตร์ เพียงแค่ค่อยๆเดินตามขั้นตอนของการเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ส่วนคนที่มีอคติ ก็ให้ถามตัวเองว่าทำไมถึงไม่ชอบคนที่งมงายในเรื่องแบบนี้ ทำไมถึงมีอารมณ์โกรธเคืองต่อคนที่พูดถึงเรื่องจิตวิญญาณ ลองถามตัวเองดูก่อนนะคะ เพราะคนเราไม่ชอบมองตัวเอง ไม่เข้าใจตัวเอง บางทีเกลียดคนอื่นอย่างง่ายดาย แค่เห็นหน้าครั้งแรกก็สามารถเกลียดได้ เพราะอะไรถึงมีอคติ ....อย่าพูดปัดไปง่ายๆว่า...ก็หน้าตาคนนั้นไม่ถูกชะตา ฮ่าๆ ได้ยินบ่อยมากคำนี้ (และฉันก็เคยเป็นด้วย ฮ่าๆ) พยายามนึกถึงเหตุที่ก่อให้เกิดความเกลียด ถ้าไม่มีเหตุผลเพียงพอก็ช่างมันเถอะค่ะ...ถ้าคุณไม่รู้เหตุผลว่าทำไมคุณถึงมีอคติต่อคนอื่นบ่อยๆ ด่าคนอื่นอย่างง่ายๆ เกลียดคนอื่นอย่างไร้ผล มันฟังดูแล้วน่าเป็นห่วงในเรื่องของสภาพจิตในส่วนของจิตใต้สำนึกของคุณนะคะ แต่คนเราสามารถพัฒนาจิตใจ ปรับเปลี่ยนนิสัยกันได้แค่ฝึกฝนไปเรื่อยๆแล้วคุณจะกลายเป็นคนมองโลกในแง่ดี ผลของการมองโลกในเเง่ดี จะทำให้คุณเปิดใจต่อผู้อื่น ต่อสิ่งอื่น คุณจะเป็นคนใจเย็น จะคิดทุกอย่างๆมีเหตุผล ความใจเย็นจะทำให้คุณมีเวลาในการตัดสินใจว่าจะใส่ความรู้สึก อารมณ์อย่างไรต่อเรื่องที่เกิดขึ้น หรือคุณจะกลายเป็นคนที่หลีกเลี่ยง ไม่ชอบอะไรก็จะเลี่ยงไม่เข้าไปยุ่ง แบบนี้มันก็ดีกว่ากัน ฉันเห็นคนในทุกวันนี้ชอบตัดสินผู้อื่นโดยไร้การพิจารณา ทำตามอารมณ์ เชื่อในอารมณ์ของตัวเอง จนผู้คนเต็มไปด้วยความรุนแรงทางจิตใจ ไม่ต้องถามเลยว่าทำไมคนถึงฆ่ากันอย่างง่ายดาย มันเริ่มจากจุดเล็กๆอย่างนี้แหละ 

คุณรู้มั้ยว่าสมองของคนเรามันจะสร้างความคิดในแง่ลบขึ้นมาอย่างอัตโนมัติ มันคือระบบปกป้องตัวเรา มันเป็นระบบอัตโนมัติ ฉันไม่ใช่หมอเเต่ที่รู้เพราะอ่านเเละศึกษาเรื่องสมองมนุษย์มา ไม่เชื่อก็ลองหาอ่านดู ฉันจึงทดลองกับตัวเองโดยการสร้างเหตุผล ตอบโต้กับความคิดของตัวเองเวลาที่เกิดความรู้สึกกลัว โกรธ เกลียด ซึ่งมันอยู่ในเเง่ลบ เมื่อฝึกบ่อยๆจนเกิดความคุ้นชิน พวกอคติ อารมณ์ขี้เหวี่ยงวีน โกรธ ด่า บ่น มันลดลง ยิ่งฝึกมันยิ่งหายไป คุณไม่ต้องกลัวหรอกว่าคุณจะกลายเป็นคนดีจนเกินไป ซึ่งหลายคนชอบบอกอีกนั่นเเหละว่า ดีจนโง่ ฉันไม่เชื่อหรอกนะว่า คนดีจะมีความโง่ ถ้าดีจนโง่นี้ ฉันคิดว่าคนประเภทนี้คือคนที่ไม่รู้จัก “ความดี” อย่างถูกต้อง ต้องฝึกการรักตัวเองให้เป็นแล้วจะรู้ว่าความพอดีในการทำดีต่อผู้อื่นมันอย่างเช่นไร และฉันก็ไม่เชื่อที่ว่า รักตัวเองมากไปจะกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว คนประเภทนี้ก็เช่นกัน เป็นคนที่ไม่รู้จัก “ความรัก” อย่างถูกต้อง จึงต้องเรียนรู้การรักตัวเองให้เป็น ซึ่งก็อีกนั่นแหละเรียนรู้บนทางสายกลายระหว่างความรู้ทางตรรกะเเละทางธรรม (จิตวิญญาณ) อยู่ระหว่าง ชั่วเเละดี ดำและขาว มือเเละสว่าง อะไรแบบนี้ มันคือความสมดุล

ในเมื่อคุณเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น อย่างเช่น เชื่อว่าเมืองไทยเศรษฐกิจมันเเย่ เชื่อว่าเมืองไทยเต็มไปด้วยสภาพเเวดล้อมที่เลวร้าย มีทั้งพวกค้ายา โสเภณี คอรัปชั่น คุณยังเชื่อเรื่องพวกนี้อย่างสุดใจว่ามันคือเรื่องจริง เเล้วคุณก็จมอยู่กับความเชื่อแบบนี้ คุณดูข่าวลบๆเพื่อตอกย้ำความเชื่อของคุณในทุกๆวัน มันจะส่งผลให้คุณคิดแบบนี้ จนสร้างพฤติกรรมที่แสดงออกมาตามความเชื่อ ความคิด เมื่อเชื่อว่าเมืองไทยมันเเย่ คุณจะมีอารมณ์หงุดหงิด พาลไปทั่ว รถติดก็บ่นด่า ด่าลามไปถึงบ้านเมือง ขุดอดีตของผลกระทบขึ้นมาต่างๆนานา โทษนั่นโทษนี่ไม่หยุดหย่อน หรือเห็นผู้หญิงเเต่งตัวก็พาลด่าเค้าว่าเป็นโสเภณี ด่าลามไปถึงเรื่องการข่มขืนและโทษผู้หญิงเรื่อยไป คนมันมีความเชื่อผิดๆ มันจะทำเลว ถ้าไม่ข่มขืนก็ปล้นฆ่าอยู่ดี ทุกอย่างมันเกิดจากความเชื่อจนส่งผลไปถึงทัศนคติ ความคิด พฤติกรรมของเราได้ ความเชื่อในสิ่งลบๆนี่แหละคือพลังในการสร้างเรื่องราวให้เลวร้ายในชีวิตคุณ ในสังคมและในโลก 

ฉันอยากเป็นนักพูดนะ อยากพูดให้คนลองเปลี่ยนทัศนคติ อยากพูดให้กำลังใจคนที่ย่ำแย่ อยากช่วยเหลือคนให้มองเห็นถึงโลกที่สวยงาม (พูดเหมือนสาวไทยเลยเนอะ ฮ่าๆ) แบบที่เค้าไม่เคยมองเห็น ฉันอยากพูดเรื่องของจิตวิญญาณในทางปรัชญา ศิลปะมากกว่าพาผู้คนไปในทางงมงายและเอาชีวิตฝากไว้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างเดียว ถ้าฉันพูดแทนเทพเจ้า พระเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ ท่านเหล่านั้นคงอยากบอกว่า...ช่วยเหลือตัวเองก่อนได้มั้ย ค่อยมาใช้ท่านทำงานให้... ฉันเชื่อเสมอว่าพระเจ้ารักคนที่ขยัน มีมานะ อดทน คนที่พิสูจน์ให้เห็นว่าคู่ควรกับความช่วยเหลือของท่านแบบนั้นท่านจึงจะช่วย

ถ้าฉันได้เป็นนักพูดด้านจิตเทววิทยาคนเเรกของเมืองไทยก็คงดี ฉันอยากแชร์ประสบการณ์จากคนที่มองโลกในเเง่ลบเเต่ตอนนี้กลายเป็นคนมองโลกในแง่ดี มองชีวิตที่มีแต่ความสุข ฉันสนุกกับการมองเห็นสิ่งเหนือธรรมชาติิซึ่งฉันรู้ดีว่ามันอธิบายอยาก แต่ฉันสามารถพูดมันด้วยหลักวิทยาศาสตร์ในเชิงจิตวิทยาได้ ฉันมั่นใจในสิ่งที่ฉันเชื่อว่ามันคือสิ่งที่จะพาผู้คนสร้างชีวิตที่ดีขึ้น ฉันอยากช่วยคนที่หมดตัวไปกับร่างทรง(ปลอบ) และอยากช่วยคนที่มีอคติต่อเรื่องจิตวิญญาณเปิดใจรับความรู้ด้านนี้

ฉันเคยโมโหเเละรู้สึกเกลียดคนที่หัวเราะใส่ฉันเเละหาว่าฉันบ้าบ้าง งมงายบ้าง แต่ตอนนี้ฉันอยากให้คนที่ต่อว่าอย่างนั้นลองเปิดใจเรียนรู้จิตวิญญาณไปด้วยกัน ฉันสามารถหาทางให้พวกเค้าพิสูจน์ด้วยตัวพวกเค้าเอง ไม่ต้องมีความพิสดารอะไรเหมือนในหนังหรอก ฉันอยากเป็นคนที่เก่งในจิตวิทยา ฉันจึงอ่านหนังสือเยอะมาก อยากเก่งเพราะอยากช่วยคนที่มองโลกในแง่ลบ ฉันอ่านทุกศาสตร์ ลองค้นหาเเละพิสูจน์มาตลอด ตอนนี้ก็ยังทำอย่างนั้นเพราะอยากหาคำตอบให้แก่ผู้คนที่ต่อว่าฉันว่าบ้า มันก็สนุกดีนะ

ความรู้ที่ถูกต้องมันทำให้ฉันไม่มีอคติ ไม่มีความเกลียด เเต่มันทำให้ฉันอยากเป็นคนที่ช่วยเหลือผู้คน เมื่อมีคนเกลียดฉัน มันทำให้ฉันถามตัวเองว่า ฉันทำอะไรผิด ถ้าไม่มีสิ่งใดผิด ฉันอยากจะคุยกับคนที่เกลียดฉัน อยากสลายความเกลียดนั้น อยากช่วยให้เค้าหยุดเกลียดทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเค้า 

ฉันคิดมาเสมอว่าอยากเป็นนักจิตวิทยาตั้งแต่เรียนมัธยมเเต่ไม่คิดว่าจะจริงจัง แค่รู้สึกสนุกกับการอ่านผู้คน เเต่ตอนนี้ ฉันหลงใหล รัก และอยากเรียนต่อในด้านนี้ อยากช่วยคน มันคือเเรงบันดาลใจที่จะผ่านอุปสรรคในชีวิต ตอนนี้ฉันมีปัญหาไม่ว่าจะด้านการเงิน การงาน เเต่ฉันกลับรู้สึกขอบคุณปัญหาเเละมีพลังที่จะจัดการกับทุกอย่างให้สำเร็จ ปัญหาเหล่านั้นมันกลายเป็นความทะเยอทะยานเเละเเรงบันดาลใจในการสร้างชีวิต แต่ก่อนฉันกลัว เครียด มองทุกอย่างด้วยความเกลียด โทษสิ่งรอบข้าง เเต่ตอนนี้ มันมีเพียงอย่างเดียวคือ คำขอบคุณต่ออุปสรรค์ ปัญหา ฉันมีความนิ่ง มีสติ มีความคิดที่จะทำนั่นทำนี่ตลอดเวลา ปัญหามันดึงฉันมาโฟกัสในสิ่งที่ฉันทำ เป้าหมาย การฝึกฝน การสร้างชีวิตให้ดีขึ้น

ฉันหวังว่าสิ่งที่ฉันเขียนขึ้นจะช่วยให้คุณเปิดใจต่อผู้อื่นด้วยความเมตตาบ้าง คุณเกลียดคนอื่นน่ะ เค้าไม่ทุกข์หรอก เเต่คุณนั้นแหละคือคนที่สร้างความทุกข์และหอบมันไว้เอง คุณสามารถกลับมาคุยกับฉันได้ทุกเมื่อ แค่คุยกัน ลองเเลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ฉันก็อยากรู้ว่าอะไรที่เป็นตัวต้นเหตุในความเกลียด โกรธที่เกิดขึ้นภายในจิตใจคุณ  บางทีฉันอาจจะขาดความรู้ในสิ่งที่ฉันไม่รู้ การเเลกเปลี่ยนความคิดมันคือสิ่งที่ดีของการเพิ่มความรู้นะฉันว่า...

Rose Wings

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บทขอขมากรรม

โลกของฉันที่ค่อนข้างอยู่นอกจักรวาล (Spiritual Drawing)