เราคือเมล็ดของผู้สร้าง
หากเราเชื่อว่าเราเกิดจากธรรมชาติเเละผู้สร้างคือจักรวาล เราก็เปรียบดังเมล็ดพันธุ์แห่งการสรรค์สร้างที่มาจากจักรวาล
อะไรคือสิ่งกักขังตัวเราให้อยู่กับความทุกข์ หากไม่ใช่ตัวเราเองที่อนุญาตให้ความรู้สึกแย่ๆเข้ามาทำร้ายตนเอง เราเองต่างหากที่ยอมให้ตัวเราเป็นผู้ด้อย เป็นผู้ถูกเลือก เป็นผู้แพ้ เพราะเรานั่นแหละที่ดูถูกและไม่เห็นค่าของตัวเอง ไม่ว่าจะรวยหรือจน ไม่ว่าจะดีหรือเลว เราก็ต่างเชื่อว่าเราเป็นอย่างนั้น เเต่เราไม่เคยยกตัวเราให้เป็นเหมือนพระเจ้า หรือบอกตัวเองว่าฉันคือเชื้อสายแห่งผู้สร้าง มีอำนาจ มีพลัง สามารถสร้างความโชคดี สร้างความร่ำรวย สร้างความสุข ฉันสามารถมีอิสระทางการเงิน มีอิสระจากภาระงานต่างๆ ฉันเป็นผู้กำหนดเวลาและตัวเลขทุกอย่างในโลกนี้ ก็เพราะฉันคือเจ้าของโลกใบนี้เช่นกัน ฉันจึงมีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องหรือครอบครองความสุข ความสบาย ความรัก ความมั่งคั่งร่ำรวย ฉันอยู่เหนือกฎต่างๆของการเป็นมนุษย์ ฉันสามารถสร้างสิ่งที่ฉันต้องการได้เสมอ ทุกที่ทุกเวลา ฉันคือความรัก ความเมตตาเเละคือความโชคดี...
หากเราคิดได้แบบนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตจะเป็นอย่างไร แต่ในความเป็นจริง เราถูกสอนให้มีแต่ความเกรงใจต่อผู้อื่นจนตัวเองเดือดร้อน ถูกสอนให้เป็นผู้เงีียบเเละฟังจนไม่กล้าแสดงความคิดเห็นของตัวเอง กลายเป็นคนไม่กล้าคิดกล้าตัดสินใจ กลายเป็นคนไม่มีความมั่นใจในตัวเอง เราถูกสอนให้เชื่อเเละเดินตามผู้ที่มีประสบการณ์จึงทำให้เราไม่มีความคิดสร้างสรรค์ ไม่มีความกล้าที่จะสร้างชีวิตในแบบที่ตัวเราต้องการ เราถูกสอนให้นิ่งเมื่อถูกคนเอาเปรียบหรือได้รับการกระทำที่ไม่ถูกต้อง กลายเป็นคนที่โดนเอาเปรียบอยู่เสมอ แล้วเราก็บ่นเเต่ว่าไปที่ไหน อยู่กับใคร มีเเต่คนรังแก เเละเราถูกสอนให้หลีกหนีความทุกข์ มันทำให้เรากลายเป็นคนที่กลัวความชั่ว กลัวด้านมืด เเต่ยิ่งหนียิ่งเจอเพราะความกลัวมันคือพลังงานลบ ความชั่วมันก็คือเป็นพลังงานลบเช่นกัน มันจึงดึงดูดให้เจอกันเเละกัน ยิ่งกลัวก็ยิ่งเจออย่างที่คนชอบพูด ถ้าเรารู้มันไปเลยว่าความทุกข์ ความชั่วมันเป็นอย่างไร เราก็จะไม่กลัวเเต่เราจะรู้จักระวังตัวต่างหาก เราถูกสอนให้ทำดีต่อผู้อื่น ให้รักผู้อื่น เเต่เราลืมการรักเเละเมตตาต่อตัวเอง เพราะการที่เราพูดว่า ฉันรักตัวเอง มันฟังเหมือนเราเห็นแก่ตัว เราเชื่อว่าการคิดและพูดแบบนั้นมันคือเรื่องไม่ดี เราไม่ได้ถูกสอนให้เรียนรู้เกี่ยวกับการอยู่อย่างสมดุล การตรงกลางระหว่างความดีเเละความชั่ว สำหรับฉัน...มันคือการรู้จักความชั่วเพื่อระวังเเละใช้ความดีเพื่อผลักดันชีวิตให้เจริญไปข้างหน้า เรามีเเต่ถูกผู้ใหญ่บอกให้เราหลีกหนีความชั่วแบบ...สุดโต่ง ไม่รับฟัง ไม่ค้นหาที่มาของการเกิดความชั่วต่างๆ ทั้งที่มันคือสมดุลของธรรมชาติ เพราะการมีความชั่วจึงทำให้เรารู้จักความดี เราเจอความมืด เราจึงรู้จักความสว่าง ทุกอย่างมันมีสองด้านเสมอ เราไม่ได้ถูกสอนให้มองความชั่ว ความเลว ความไม่ดี อย่างมีเหตุผล อย่างเป็นกลางหรือมองความชั่วอย่างมีปัญญา เราขาดการเรียนรู้ในสิ่งเหล่านั้น เราแค่รู้ว่ามันไม่ดี มันเลว มันชั่ว ดังนั้นคนจึงมักทำความชั่วแบบไม่รู้ตัว เพราะคนไม่รู้จักมันดีพอ เมื่อทำไปแล้ว...พอมารู้เอาทีหลังก็เกิดความรู้สึกแย่ต่อตัวเอง เเต่มันก็ยังดี ถ้าหากเราคิดว่ามันคือประสบการณ์ของชีวิต...หยุดซ้ำเติมตัวเองเเล้วเดินหน้าพัฒนาตัวเองต่อไป เเต่คนเราเมื่อทำอะไรผิดไปแล้วก็มักจะคิดถึงเเต่เรื่องเดิมๆ คิดขึ้นมาตอกย้ำให้ตัวเองรู้สึกผิด มันจึงเป็นสิ่งที่บล็อคชีวิตในการพัฒนาตัวคุณให้ดีขึ้น เพราะเอาเเต่ย้ำคิดย้ำทำในเรื่องเดิมๆ
เราบอกว่าเราเป็นคนดี เเต่เราสาปแช่งเเละเกลียดคนเลว เรายังมีความเกลียดชังต่อผู้อื่น บางคนที่เคยเลวเปลี่ยนนิสัยสันดาน กลับตัวเป็นคนดีเเต่ก็ยังถูกเกลียดชัง ไม่ได้รับการยอมรับในสังคม เพราะฉะนั้นมันไม่มีอะไรเลยที่จะบอกได้ว่า เราทำความดีเเล้วจิตใจเรามันจะดีตามการกระทำไปซะทุกอย่าง ในเมื่อมนุษย์ทำดีด้วยการบอกว่า...ฉันเข้าวัด ฟังธรรม หรือฉันดูแลครอบครัวเป็นอย่างดี ฉันไม่ทำความเดือดร้อนต่อผู้อื่น เเต่ยังมีใจสาปแช่ง นินทา เกิดความรู้สึกไม่พอใจ เกลียดชังผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา มันช่างไม่สอดคล้องกันระหว่างการกระทำเเละจิตสำนึกเอาเสียเลย หากเราอยู่ตรงกลางระหว่างความดีและความชั่ว รู้จักความชั่วเพื่อระวังตัวเเละใช้ความดีเฝ้าดึงสติให้เดินอยู่ทางสายกลาง เราก็เหมือนเครื่องบินที่มีปีกซ้ายขวาเปรียบเหมือนความดีความชั่ว ปีกทั้งสองข้างต้องสมดุล มีเเรงดันเท่าๆกันเพื่อที่เครื่องบินจะได้ไม่ตก ฉันไม่ได้บอกให้พวกคุณไปทำชั่ว เเต่ฉันบอกให้พวกคุณเรียนรู้มัน รู้จักกับมัน...แค่รู้จักมัน!
เราถูกสอนให้เกลียดคนชั่ว ไม่ได้ถูกสอนให้หาเหตุผลว่าทำไมเค้าถึงทำชั่ว มันก็เหมือนเมื่อเราเจอปัญหา เราจึงไม่รู้ว่าเหตุผลของปัญหาคืออะไร ความทุกข์มันเกิดจากอะไร เพราะรากฐานเเห่งการเรียนรู้ของความเป็นมนุษย์มักถูกสอนให้หลีกหนีเเละยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น แทนที่จะศึกษาค้นหาความรู้เพื่อจะได้แก้ไขปัญหา แก้โจทย์ชีวิต แต่คนเรามักวิ่งออกไปร้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นก่อนเสมอ ไม่เคยเริ่มถามตัวเอง ไม่เคยคุยกับตัวเองก่อน มันไม่ได้แย่นะที่ร้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่น เพียงเเค่หลายครั้ง หลายคนมักจะขอความช่วยเหลือผิดจุด เช่น มีปัญหาด้านการเงินเเทนที่จะสอบถามจากผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการเงิน หรือเข้าฟังสัมมานา ไปชมนิทรรศการเกี่ยวกับเรื่องการเงินหรืออะไรทำนองนี้ แม้เเต่องค์เอกชนเเละรัฐหลายแห่งจัดประชุมสัมมานาฟรีๆชี้เเจงให้ความรู้เรื่องการเงิน การลงทุน เเต่คนเราก็เลือกที่จะไป...บ้านคนทรงเจ้าแทน...
เอาล่ะ ฉันจะพูดถึงการเป็นเมล็ดพันธุ์จากจักรวาล ฉันเพียงต้องการบอกว่า เราทุกคนสามารถที่จะเป็นอะไรก็ได้ เราต่างอยากมีชีวิตที่ดีมีความสุข แม้เเค่คนเลวๆ เค้าทำชั่วก็เพราะต้องการหาความสุขใส่ชีวิตเช่นเดียวกับเรา เพียงเเค่เค้าไม่สามารถคิดพิจารณาได้ว่า สิ่งที่เค้าทำมันผิดหรือถูก เเม้บางคนจะรู้ว่ามันผิดเเต่เค้าก็ตัดสินใจจะทำความชั่วต่อไปเพราะความสามารถทางสติปัญญาเเละจิตใต้สำนึกของเค้ามันไม่มีพลังเพียงพอที่จะหยุดหยั่งการกระทำความผิดเหล่านั้นได้ ไม่มีึความสามารถในการตัดสินใจที่ถูกต้องเพราะจิตสำนึกและจิตใต้สำนึกไม่เคยถูกขัดเกลา ไม่เคยได้รับความรู้ทั้งทางตรรกะเเละทางธรรม ระบบความคิด สมอง จิตใจจึงไม่สามารถอยู่ในทางที่ถูกที่ควรได้ อย่างที่บอก รหัสDNAมันฝังในเซลล์ อะตอม โมเลกุล ฯลฯ ในตัวคนๆนั้นแล้ว สิ่งที่ฉันพูดถึงก็แค่ยกตัวอย่าง แค่อยากรู้ไว้ เเค่ระวัง คุณเห็นแล้วใช่มั้ยว่า เรื่องความคิด การรับข่าวสารไม่ว่าทางตา การได้ยิน เเม้เเต่สิ่งที่คุณกำลังพูดคุยนั้นมันสำคัญมาก มันสามารถสร้างระบบความเชื่อ ทัศนคติ จิตใจ อารมณ์ในตัวคุณ มันคือพลังงานหากคุณเชื่อว่า...จักรวาลสร้างมนุษย์ ธรรมชาติคือเชื้อสายของเราเเละเราคือส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ทุกอย่างบนโลกนี้ต่างเป็นพลังงาน ความดี ความชั่วก็คือพลังงาน ความรวย ความจนก็คือพลังงาน เราเองก็คือพลังงานเช่นกัน ฉันจึงอยากให้ผู้คนได้สร้างพลังงานที่เค้าอยากได้ อยากเป็นขึ้นมา แม้ว่าในตอนนี้คุณจะทุกข์เเสนสาหัส คุณก็แค่ปล่อยพลังงานเหล่านั้นออก มันเป็นเเค่พลังงานลบที่คุณสร้างเเละเก็บเอาไว้ในตัวคุณ อย่างที่บอกพลังงานมันจะดึงดูดซึมซับรับเอาพลังงานเช่นเดียวกัน มันเเค่กฎทางเคมีฟิสิกส์อะไรแบบนั้น คุณต้องเอาพลังงานลบพวกนี้ออกไป ถ่ายเทออกไป ทำอย่างไรนั้นหรืิอ...ก็เพียงหยุดเชื่อมต่อมัน คือ หยุดคิดถึงมัน หยุดการย้ำคิดย้ำทำ หยุดพูดเเละหยุดเชื่อในตัวมัน ไม่งั้นทางแห่งการแก้ไข หรือความรู้ที่จะเข้ามาช่วยให้คุณเห็นทางสว่างของชีวิตมันก็ไม่มาถึงคุณซักที ในเมื่อพลังงานลบเหล่านี้มันบล็อคตัวคุณอยู่อย่างนั้น ฉันไม่ได้กล่อมให้คุณเชื่อไปซะทุกอย่าง คุณต้องลองเอง ฉันเพียงแค่เล่าประสบการณ์ชีวิตของฉันเหล่าความทุกข์และปัญหาที่ฉันเคยมี...มันหายไปจากหัวเเละความเชื่อที่ฉันเคยจมปรักอยู่กับมันมาก่อน เมื่อฉันอยู่เหนือปัญหา ฉันมองเห็นทางที่จะแก้ไข เพราะฉันอยู่บนที่สูงพอที่จะมองเห็นทุกสิ่งได้เป็นอย่างดี ฉันล้างระบบความเชื่อเดิมๆ มันทำให้ตัวเบาขึ้น ฉันรู้สึกถึงพลังงานในตัวที่มีอำนาจในการควมคุมชีวิตของตัวเอง ฉันรู้สึกมีอิสระทางความคิด การตัดสินใจ การเลือกที่จะเป็น...ที่จะเชื่อ เพียงเเค่หยุดคิดเรื่องความทุกข์ มองมันเป็นเหมือนบทเรียนที่ทำให้ฉันตื่นมารับความรู้ในการแก้ปัญหา สติคือตัวที่จะนำพาปัญญามาสู่จิตรับรู้หรือจิตใต้สำนึก สิ่งที่จะเเก้ปัญหาความทุกข์ต่างๆ นั้นคือ...การมีสติสัมปชัญญะ มันฟังดูง่ายเเละมันก็แค่คำที่เคยๆฟังมา แต่ทำไมหลายคนไม่ค่อยมีกัน เรามองข้าม ไม่ฝึกฝน แรงเเห่งสติสัมปชัญญะจึงไม่มี หลายคนมักบอกว่ามันยาก เสียเวลาที่จะฝึก แต่ฉันได้ฝึกแล้วใช้สิ่งนี้แก้ปัญหามาแล้ว หรือเเม้จะมีปัญหา ฉันก็อยู่กับมันได้ด้วยความสุขดีเเละสติก็นำปัญญามาให้ ยังไงปัญหามันก็ต้องถูกแก้ไขในเวลาต่อไปเมื่อใดที่เรามีปัญญามากกว่ามัน
เมื่อฉันเชื่อว่าตัวฉันเองคือเมล็ดพันธุ์จากจักรวาล ฉันเป็นเหมือนลูกหลานของผู้สร้าง โลกใบนี้คือบ้านของฉันทั้งหลังและฉันมีสิทธิ์เหมือนเทพเจ้าที่สามารถใช้พลังในการเนรมิตสิ่งต่างๆขึ้น คุณไม่ต้องกลัวหรอกนะว่า การที่คิดว่าเราเป็นเทพเจ้าหรืออยากเป็นราชินี ราชา มันจะทำให้คุณกลายเป็นคนโลภ เมื่อใดที่คุณเข้าใจถึงความทุกข์ เรียนรู้เเละรู้จักความชั่วด้านมืดด้วยปัญญา...มันคือสิ่งที่ทำให้คุณสามารถพิจารณาวิเคราะห์ทุกสิ่งอย่างมีสติ ความรู้คือยาบำรุงให้จิตสำนึกคุณทำงานในการแยกแยะวิเคราะห์ในเหตุเเละผลรวมไปถึงจิตใต้สำนึกที่จะช่วยพิจารณาด้วยใจอันเป็นธรรม เราต้องขัดเกลาจิตเเละบำรุงจิตให้เเข็งแกร่งเพื่ออยู่ตรงกลางระหว่างดีเเละชั่ว แม้เเต่การเรียนรู้ที่ฉันฝึกฝนก็อยู่ตรงกลางระหว่างความรู้ทางตรรกะเเละทางธรรม เมื่อคุณเชื่อว่าทุกอย่างมันเป็นเเค่พลังงาน โลกนี้คือพลังงาน คุณคือพลังงาน เราไม่มีตัวตนอันเเท้จริง ร่างกายเป็นเพียงเปลือกที่ห่อหุ้มจิต เราต่างมาจากที่เดียวกัน มีความเสมอกัน เพียงเเค่เราถูกจับยัดใส่ร่างกายนี้ ตั้งชื่อ รับบทเเละกำลังแสดงละครอยู่ หากคุณเชื่อได้แบบนั้น คุณจะสนุกกับการใช้ชีวิต คุณจะมองทุกอย่างๆปล่อยวาง มองแบบสองด้านอย่างเท่ากัน คุณจะเริ่มอยากสร้างตัวตนใหม่ ความเชื่อแบบใหม่จะเกิดขึ้น เพราะปัญญามันจะพัฒนาตัวคุณแบบอัตโนมัติ มันคือการสร้างรหัส DNA ใหม่ แล้วคุณจะสนุกกับการจิตนาการอยู่ในโลกของคุณ แค่คุณสร้างโลกของคุณขึ้นมาแล้วเป็นเทพเจ้าในโลกของคุณ
หากคุณอยากเป็นคนที่มีความมั่งคั่ง ร่ำรวย ประสบความสำเร็จก็แต่ตัดสินใจจะเป็นสิ่งนั้น ล้างระบบความกลัว ความเชื่อลบๆต่อตัวคุณ ต่อผู้อื่นและต่อโลกใบนี้ เมื่อคุณล้างพลังงานลบเเล้วคุณตัดสินใจจะพัฒนาตัวตนให้ดีขึ้น ความคิด ทัศนคติที่มองโลกภายนอกจะเปลี่ยนไป คุณจะเลือกมองเเต่สิ่งที่ดี มองสิ่งเลวร้ายเป็นเเหล่งหาความรู้เเละจะมีสติในการระวังการใช้ชีวิต คุณมองผู้อื่นเเละโลกใบนี้ด้วยความเมตตา มองหาข้อดีของคนอื่นมากกว่าข้อเสีย คุณจะรู้สึกว่าอะไรๆมันสวยงามขึ้น ผู้คนใจดีกับคุณมากขึ้น คุณจะยิ้มมากขึ้นเเล้วคุณจะรู้สึกรักเเละขอบคุณตัวคุณเองอยู่ตลอดเวลา...คุณกำลังสร้าง DNA ใหม่ในตัวคุณ
จักรวาลคือผู้สร้าง เราคือเชื้อสายเเห่งผู้สร้าง ทำไมเราไม่สร้างตัวตนเราในแบบที่ยิ่งใหญ่อย่างจักรวาลล่ะ? ธรรมชาติของจิตคือความอิสระ เราจึงร้องหาเเต่อิสระในชีวิตในทุกๆสิ่ง แค่เราเชื่อว่าเรามีิอิสระ เราเป็นผู้สร้างความสุข ความรัก ความเมตตาเเละความดีได้... สร้างในตัวเราก่อนไง หากเราไม่มองเห็นความรักจากตัวเราก่อน...แล้วใครเค้าจะเห็น ในเมื่อเรายังไม่เชื่อว่าเรารักตัวเอง เรายังไม่รู้ว่าการรักตัวเองเป็นอย่างไรแล้วใครกันจะรู้ เเค่ทุกอย่างเริ่มจากตัวเรา สร้างตัวเราขึ้น เป็นเทพเเห่งความรัก ความเมตตา ความโชคดี เมื่อเราเห็นเเละรับรู้เเล้ว...เมื่อนั้นผู้คน โลก จักรวาลจะเห็นเเละยินดีไปกับคุณ พลังงานเดียวกันจะดึงดูดสิ่งเดียวกัน ไหลเทมาสู่กัน แล้วพลังงานแห่งความรักและโชคดี...ทำไมมันจะไม่ส่งมาถึงคุณล่ะ...เราจะได้รับพลังงานเหล่านั้นตอบกลับมาอย่างเเน่นอน อย่างที่ฉันเคยได้ยินว่า ทำอะไรก็ได้อย่างนั้น... อยากรวยก็สร้างตัวเราข้างในให้รวยก่อน ปลดปล่อยจิตของคุณให้เป็นอิสระจากหนี้สิน จากความทุกข์ที่คุณมี สร้างพลังงานแห่งความอุดมสมบูรณ์ สร้างพลังแห่งความมั่งคั่งในตัวเราก่อน อยากมีแฟนที่เเสนดี เราก็ต้องดีกับตัวเราก่อน รักตัวเองให้ได้เเล้วพลังนี้จะผลักเราหรือนำพาคนที่เเสนดีมาหาเราเอง
มันเป็นเรื่องที่ง่ายๆ ใครๆหลายคนที่ประสบผลสำเร็จต่างทำกัน มีหนังสือที่สอนหรือเเนะนำเรื่องลักษณะนี้มากมายทั้งเขียนเอาไว้เป็นร้อยๆปี หรือพึ่งจะถูกเขียนขึ้นใหม่มีให้เราได้ศึกษาปฏิบัติฝึกฝน เเค่เราฉลาดเลือกอ่าน เลือกศึกษา ตั้งโจทย์ให้ได้ว่าเราจะเเก้ไขอะไรในชีวิต เพียงเท่านี้เราก็เป็นเจ้าของทุกอย่างที่เราต้องการได้ มันไม่ใช่ความโลภ ความบาปที่เรามีความอยาก เเต่มันคือความธรรมดา ความธรรมชาติของจิต เพียงเเค่ความอยากนั้นหากมีควบคู่ไปกับความเข้าใจเเละเต็มไปด้วยความรัก ความเมตตา เมื่อใดที่สติปัญญาเกิดขึ้น เราจะเข้าใจเองแหละว่า อะไรเกิน อะไรขาด เราจะรู้ได้เอง สติจะจัดการจิต...มันจะหาทางทำให้ทุกอย่างมันสมดุลได้เอง ไม่ต้องเชื่อฉันนะ คุณลองฝึกดูก่อน ล้างพลังงานลบ หยุดย้ำคิดย้ำทำในเรื่องความทุกข์เเละปัญหา เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมให้เป็นผู้สร้างที่ยิ่งใหญ่ เข้าหาตัวเอง รักตัวเอง เมตตาตัวคุณเอง ศึกษาหาอ่านหนังสือ บทความ หรืออยู่กับคนที่มีจิตอันเป็นสุข เสพสื่อที่ดีๆอันจะผลักให้คุณพัฒนาจิตใจ เพียงเท่านี้...ฉันว่ามันก็เป็นการเริ่มต้นที่ดีแล้วนะ
เมล็ดพันธุ์แห่งการสรรค์สร้างไม่ได้เกิดขึ้นได้ในทุกคน คุณต้องหาเมล็ดพันธุ์ในตัวคุณให้ได้ เมื่อใดที่คุณพบ...บางทีนั่นอาจจะเป็นการตื่นรู้ของจิตคุณ... อย่างฉันที่พบเมล็ดพันธุ์ของตัวเองซึ่งเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งการสร้างสรรค์ ฉันจึงเอาเรื่องนี้มาเขียนเล่าให้อ่าน (ภาษาอะไร เขียนเล่า ขอโทษนะบางครั้งกับภาษาแปลกๆของฉัน คือ ฉันเป็นคนไทยจริงๆนะเเค่เขียนไทยตกบ้าง ใช้ภาษาประหลาดๆบ้าง ฮ่าๆ) เอาล่ะ บางทีคุณอาจจะเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งการให้หรือเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งการเยี่ยวยารักษาจิตใจผู้คน...แบบนี้ก็ได้
*ฉันก็กำลังฝึกฝนในการเป็นผู้สร้างสรรค์แห่งปัญญา หากคุณได้อ่านบทความของฉันแล้วต้องการจะให้ความรู้เพิ่มเติมแก่ฉัน สามารถคอมเมนท์ได้ค่ะหรือส่งข้อความได้ที่ เพจเฟสบุ๊ค Spiritual Drawing ฉันยินดีที่จะรับฟังข้อเสนอเเนะเเละได้พูดคุยกันในเรื่องการพัฒนาจิตวิญญาณ ฉันสนุกในการพัฒนาตัวเองเเละสนุกที่ได้เเบ่งปันเรื่องราวจากประสบการณ์ชีวิตของฉัน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น